ออทโท เอดูอาร์ด เลโอโพลด์ เจ้าบิสมาร์ค ดุ๊กเลาเอนบุร์ก (อังกฤษ: Otto Eduard Leopold, Prince of Bismarck, Duke of Lauenburg; 1 เมษายน 1815 – 30 กรกฎาคม 1898) หรือเรียก ออทโท ฟอน บิสมาร์ค (เยอรมัน: Otto von Bismarck) เป็นรัฐบุรุษปรัสเซียอนุรักษนิยมผู้ครอบงำกิจการเยอรมันและยุโรปตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1860 ถึงปี 1890 ในคริสต์ทศวรรษ 1860 เขาวางแผนชี้นำชุดสงครามซึ่งรวมรัฐเยอรมัน (ไม่รวมออสเตรีย) เป็นจักรวรรดิเยอรมันทรงอำนาจภายใต้การนำของปรัสเซีย ซึ่งสำเร็จในปี 1871 เขาใช้การทูตดุลอำนาจอย่างมีชั้นเชิงเพื่อธำรงการใช้อำนาจครอบงำของเยอรมนีในทวีปยุโรป ซึ่งแม้มีกรณีพิพาทและความกลัวสงครามมากมาย ยังคงมีสันติภาพ สำหรับนักประวัติศาสตร์ เอริค ฮอบสเบาม์ เป็นบิสมาร์คผู้ "รั้งผู้ชนะเลิศโลกในเกมหมากรุกการทูตพหุภาคีเป็นเวลาเกือบยี่สิบปีหลังปี 1871 อย่างไม่มีข้อกังขา [และ]อุทิศตัวเพื่อธำรงสันติภาพระหว่างประเทศโดยเฉพาะและโดยสำเร็จ"
ใน ค.ศ. 1862 จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 1 ทรงแต่งตั้งบิสมาร์คเป็นนายกรัฐมนตรีปรัสเซีย ซึ่งเขาครองตำแหน่งจน ค.ศ. 1890 (เว้นช่วงสั้น ๆ ใน ค.ศ. 1873) เขายุให้เกิดสงครามเด็ดขาดสั้น ๆ สามครั้งต่อเดนมาร์ก ออสเตรียและฝรั่งเศส โดยเข้ากับรัฐเยอรมันที่เล็กกว่าเบื้องหลังปรัสเซียในการพิชิตฝรั่งเศสศัตรูเอกของเขา ใน ค.ศ. 1871 เขาตั้งจักรวรรดิเยอรมันโดยเขาเป็นนายกรัฐมนตรีเอง ขณะยึดถือการควบคุมปรัสเซียไว้ การทูตเรอัลโพลีทิคของเขาและการปกครองทรงอำนาจในประเทศทำให้เขาได้สมญา "นายกรัฐมนตรีเหล็ก" การรวมและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของเยอรมนีเป็นรากฐานต่อนโยบายต่างประเทศของเขา เขาไม่ชอบลัทธิอาณานิคมแต่ฝืนใจสร้างจักรวรรดิโพ้นทะเลเมื่อทั้งอภิชนและมติมหาชนเรียกร้อง โดยใช้เพทุบายชุดการประชุม การเจรจาและพันธมิตรที่ประสานกันซับซ้อนยิ่ง เขาใช้ทักษะการทูตไร้เทียมทานของเขาเพื่อธำรงฐานะของเยอรมนีและใช้ดุลอำนาจเพื่อรักษาทวีปยุโรปให้มีสันติภาพในคริสต์ทศวรรษ 1870 และ 1880
เขาเป็นยอดแห่งการเมืองซับซ้อนในประเทศ เขาสร้างรัฐสวัสดิการรัฐแรกในโลกสมัยใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อชิงการสนับสนุนของชนชั้นกรรมกรซึ่งหาไม่แล้วอาจเป็นของศัตรูสังคมนิยมของเขา ในคริสต์ทศวรรษ 1870 เขาเป็นพันธมิตรกับนักเสรีนิยม (ซึ่งนิยมพิกัดอัตราต่ำและต่อต้านคาทอลิก) และสู้กับคริสตจักรคาทอลิกในสงครามวัฒนธรรม เขาปราชัยการยุทธ์นั้นเมื่อนักคาทอลิกสนองโดยตั้งพรรคกลางอันทรงพลังและการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปของชายให้ได้มาซึ่งที่นั่ง ต่อมาบิสมาร์คกลับลำ ยุติสงครามวัฒนธรรม แตกกับนักเสรีนิยม กำหนดพิกัดอัตรา และตั้งพันธมิตรการเมืองกับพรรคกลางเพื่อสู้กับนักสังคมนิยม เขาเป็นผู้นับถือนิกายลูเทอแรนอย่างเคร่งครัด ภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งพระราชทานการสนับสนุนของพระองค์อย่างเต็มกำลังตอบ ค้านกับคำแนะนำของพระมเหสีและรัชทายาท ขณะที่รัฐสภาของเยอรมนีได้รับเลือกตั้งโดยสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปของชาย แต่รัฐสภามิได้ควบคุมรัฐบาลอย่างแท้จริง บิสมาร์คไม่ไว้ใจประชาธิปไตยและปกครองผ่านระบบข้าราชการที่เข้มแข็งและฝึกฝนอย่างดีโดยอำนาจอยู่ในมืออภิชนยุงเคอร์ซึ่งประกอบด้วยอภิชนเจ้าของที่ดินทางตะวันออก ภายใต้พระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 บิสมาร์คควบคุมกิจการในประเทศและต่างประเทศเสียส่วนใหญ่ จนเขาถูกจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 วัยหนุ่มปลดใน ค.ศ. 1890
บิสมาร์คผู้เป็นยุงเคอร์อภิชนมีบุคลิกภาพก้าวร้าวและข่มอย่างยิ่ง เขาแสดงอาการบันดาลโทสะและรักษาอำนาจของเขาโดยขู่ลาออกเนือง ๆ เขาไม่เพียงมีวิสัยทัศน์ระดับประเทศและระหว่างประเทศระยะยาวเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถระยะสั้นในการออกอุบายเหตุการณ์ซับซ้อนจำนวนมากพร้อมกันด้วย ในฐานะหัวหน้าของที่นักประวัติศาสตร์เรียก "อนุรักษนิยมปฏิวัติ" บิสมาร์คกลายเป็นวีรชนแก่นักชาตินิยมเยอรมัน พวกเขาสร้างอนุสาวรีย์หลายร้อยแห่งเชิดชูสัญลักษณ์สัญรูปของผู้นำอนุรักษนิยมทรงอำนาจนี้ นักประวัติศาสตร์โดยทั่วไปยกย่องเขาเป็นรัฐบุรุษสายกลางและสมดุลผู้รักษาสันติภาพในทวีปยุโรป และเป็นผู้รับผิดชอบหลักรวมเยอรมนีและสร้างระบบข้าราชการประจำและกองทัพบกที่ขึ้นชื่อทั่วโลก